Quantcast
Channel: Contributor – WINDOWSSIAM
Viewing all 741 articles
Browse latest View live

แนะนำ Anti-Malware : Malwarebytes

$
0
0

สำหรับคนที่ใช้ Windows 10 , Windows 8.1 หรือ Windows 10 โดยการใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไปก็คือการเข้า Internet หรือการทำงานต่างๆของไฟล์ Microsoft Office โดยคุณรู้บางไหมว่า Malware จะเข้ามาในคอมพิวเตอร์เราตอนไหน พวกเราก็จะไม่รู้ตัว ก็เลยต้องมีเครื่องมือเข้ามาตรวจสอบและทำการลบ Malware ที่ไม่น่าจะเพิ่งประสงค์ โดย Malware จะทำให้คอมพิวเตอร์ของเราช้า หรือ ค้างๆ โดยวันนี้ผมจะมาแนะนำโปรแกรม Anti-Malware ที่มีชื่อว่า Malwarebytes โดยเป็นโปรแกรมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ malware กันเลยทีเดียว โดยโปรแกรมนี้เป็นที่นิยมให้หมู่แอดมิน แถมโปรแกรมนี้ ฟรีด้วย!!

โดยผมแนะนำว่า อยากให้เพื่อนๆทำการ ดาวน์โหลด Malwarebytes มาติดไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกคน และทำการ Scan เพื่อจำกัด Malware

โปรแกรมกำจัด Anti-Malware : Malwarebytes

1. ทำการเข้า WebSite และทำการดาวน์โหลด Malwarebytes และทำการติดตั้ง (โดยให้ทำการดาวน์โหลดตัวฟรี)

Anti-Malware-2

2. ทำการเปิดโปรแกรม โดยเมนู database Version ให้เราทำการ Update บ่อยๆ เพราะจะเป็นการ Update รายชื่อใหม่ๆของ Malware

Anti-Malware-1

3. ถ้าจะทำการ Scan ให้ไปที่หน้า Scan

โดยถ้าเราจะเลือก Scan เฉพาะ Drive / Folder ก็ให้เลือก Custom Scan

Anti-Malware-3

4. จากนั้นระบบทำการ Scan โดยถ้าพบ Malware จะมีขึ้นตรง Detected Object

Anti-Malware-4

เมื่อระบบทำการ Scan เสร็จ และพบ Malware ระบบจะเตือนขึ้นมา พร้อมกับให้เรากด ลบ Malware

ข้อแนะนำ : ในขณะ Scan ไม่ควรจะทำการเปิดโปรแกรมต่างๆทิ้งไว้ แนะนำว่าให้ทำการเปิดเฉพาะโปรแกรม Malwarebytes และทำการ Scan


การตั้ง Confirm ในการลบไฟล์เอกสารต่างๆใน Windows 8.1

$
0
0

หลายคนที่ใช้ Windows 8 , Windows 8.1 หรือ Windows 10 เวลาเราจะทำการลบข้อมูลบางอย่าง ตอนลบข้อมูลมันจะไม่มีหน้าต่างยืนยันว่าจะลบหรือไม่ใช่ไหมครับ คือถ้าเราทำการคลิกขวาที่ไฟล์จากนั้นแล้วคลิก Delete แล้วไฟล์นั้นก็จะถูกลบทันที แต่วันนี้ผมจะมาสอนวิธีการตั้ง Windows 8.1 เพื่อให้ทำการยืนยันก่อนกว่าคุณจะทำการลบไฟล์นี้

วิธีการตั้ง Confirm ในการลบไฟล์ต่างๆใน Windows 8.1

1. ทำการคลิกขวาที่ Recycle Bin > ทำการเลือก Properties

Windows8.1-Delete-itmes-1

2. จากนั้นให้ทำการเลือก Display delete Confirmation dialog > และกด OK

Windows8.1-Delete-itmes-

3. จากนั้นทำการทดสอบลบไฟล์ จะพบว่า พอเราเราจะทำการคลิกลบไฟล์ จะมี popup ขึ้นว่า Confirm ว่าคุณต้องการลบไฟล์นั้นหรือไม่

Windows8.1-Delete-itmes-3

ผมแนะนำว่าให้ทำการปรับไว้ทุกๆคนสำหรับคนที่ใช้ Windows 8.1 ครับ เพราะจะเป็นการ Confirm อีกครั้งในการลบไฟล์ออกจากคอมพิวเตอร์ของเรา

ตรวจสอบเวอร์ชั่นและอัพเดท Google Chrome

$
0
0

สำหรับคนที่กำลังใช้ Google Chrome ในการเปิด WebSite ต่างๆ ในเวลาที่คุณทำการเปิด Google Chrome หลังบ้านของ Services Google Chrome ก็จะมี Update Google Chrome ในกรณีมีการส่ง Patch มาให้อัพเดต แต่ถ้าในกรณีไม่ update ให้ เราสามารถเข้ามาตรวจสอบเวอร์ชั่นและการให้ Google Chrome Update ได้ทันที

อัพเดท Google Chrome และการตรวจสอบเวอร์ชั่น Google Chrome

1. ทำการเปิด Google Chrome > ไปที่ Control Google Chrome > Help and about > Abount Google Chrome

Update-Google-Chrome-1

2. จากนั้นเราจะเห็นเวอร์ชั่นของ Google Chrome และ Google Chrome จะทำการ Update version ให้

โดยถ้าเราเป็น Version ใหม่ก็จะขึ้น Google Chrome is up to date

Update-Google-Chrome-2

โดยอีกทางเราสามารถเข้ามาได้เลย โดยการเปิด Google Chrome และทำการพิมพ์ chrome://chrome/ และทำการ Enter

Check boxes ไฟล์ต่างๆ หรือ Folders Windows

$
0
0

วันนี้จะมาาสอนทิปง่ายๆสำหรับการ Check boxs หน้าไฟล์เอกสารต่างๆหรือ Folders ต่างๆ เพื่อให้เราสามารถเลือกไฟล์ได้หลายๆไฟล์ในเวลาพร้อมกัน โดย fuctions นี้เริ่มมีมาตั้งแต่ใน Windows 8.1 / Windows 10

สำหรับตอนที่ยังไม่ได้เปิดใช้ Fuctions Checkboxs ตอนใช้งานก็คือถ้าเราจะเลือกหลายๆไฟล์ เราก็จะต้องทำการกดปุ่ม “CTRL + คลิกเลือกไฟล์” นั่นเอง

วิธีการเปิดใช้งาน Check boxes ไฟล์ต่างๆ

1. ไป Tab: View จากนั้นเลือก Check box (/) item check boxs

Check-boxs-windows-1

2. ทีนี้เราก็สามารถทำการคลิกเลือกไฟล์ได้หลายๆไฟล์แล้วครับ

Check-boxs-windows-2

โดยถ้าจะเอาไฟล์ไหนก็ให้ทำการคลิกไปที่ไฟล์นั้นๆเลย โดยไฟล์ไหนที่ถูกเลือกก็จะมีเครื่องหมาย (/) อยู่หน้าชื่อไฟล์นั่นเอง ซึ่งจะทำให้ง่ายกว่าการที่ไม่ต้องทำการกดปุ่ม CTRL บน Keyboard นั่นเอง

เพิ่มนาฬิกาประเทศต่างๆใน Windows

$
0
0

หลายๆคนมีเพื่อนอยู่ต่างประเทศ หรือจะต้องทำการติดต่อกับคนที่อยู่ต่างประเทศบ่อย แต่เราอยากรู้เวลาของประเทศ ขณะนั้น เราจะมีวิธีตรวจสอบเวลาฝั่งแต่ละประเทศอย่างไรในWindows สำหรับใน Windows จะมีเวลาให้ปรับเพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ รวมประเทศที่เราใช้ด้วยก็จะเป็น ทั้งหมด 3 ประเทศ ในการดูเวลา ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆและง่ายต่อการดูเวลาในครั้งต่อไป โดยในตัวอย่างจะเป็นการเพิ่มนาฬิกาของ ญี่ปุ่นเพิ่มเข้าไปใน Windows

การตั้งนาฬิกาของแต่ละประเทศใน Windows

1. ไปยัง Start > Control Panel

2. ทำการเลือก View By Category > ทำการคลิกเลือก Clock , Language and Region

Add_Clock_Windows-ControlPanel-2

3. คลิก Add clocks for differrent time zone

Add_Clock_Windows-ControlPanel

ทำการเลือก ประเทศที่เราต้องการแสดงเวลาของประเทศนั้นๆ และทำการกรอก Enter display name : เช่น JAPAN

ประเทศญี่ปุ่นจะใช้ GMT+9

4. เมื่อเสร็จเรียบร้อย เราสามารถดูเวลาของแต่ละประเทศได้เลย

Add_Clock_Windows-Show

เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการปรับนาฬิกาของแต่ละประเทศ โดยวิธีการทำจะเหมือนกันทั้งหมด Windows 7 , Windows 8.1 และ Windows 10

วิธีการปิด UAC Windows 8.1 สำหรับการแจ้งเตือน

$
0
0

UAC คืออะไร ย่อมาจาก User Account Control มันเอาไว้ทำอะไร มันจะชอบมาเตือนตอนที่จะลงโปรแกรมหรือจะทำการรันโปรแกรมต่างๆ บนคอมพิวเตอร์ของเรา ซึ่งเป็น Security หนึ่ง ของทาง Microsoft ที่ได้ออกแบบเอาไว้แจ้งเตือนเมื่อมีการจะลงโปรแกรมหรือรันโปรแกรม แต่สำหรับผมแล้ว หลังจากที่ลง Windows 8.1 เป็นครั้งแรก ก็จะมาปิด UAC ทันทีเลยครับ เหตุผลก็คือไม่ชอบขึ้นมาแจ้งเตือน

สอนวิธีการปิด(UAC) User Account Control Windows 8.1

1. ให้เราอยู่ในหน้า Modern UI จากนั้นพิมพ์ที่ Keyboard เลยครับ > โดยพิมพ์ว่า “UAC” จากนั้นให้เราเลือก Settings > จากนั้นก็เลือก Change User Account Control

Disable-UAC-Windows8-2

2. จากนั้นให้เราเลื่อนลงมาล่างสุด > OK

Disable-UAC-Windows8-1

3 . และทำการ Restart Computer 1 ครั้ง ก็เสร็จสิ้นการปิด UAC เรียบร้อยแล้วครับ สำหรับ Windows 8.1

โดยสิทธิ์ที่สามารถทำการปิด UAC นั้นได้ ต้องเป็นแอดมินเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ถึงจะสามารถทำการปิด UAC Windows ได้

วิธีการแชร์ไฟล์ Windows 10 แบบละเอียด

$
0
0

สำหรับคนที่กำลังใช้ Windows 10 และต้องการแชร์ไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยอาจจะเป็นการแชร์ไฟล์จาก Windows 10 ไปให้ Windows 8.1/Windows 7 หรืออาจจะเป็นการแชร์ไฟล์ระหว่าง Windows 10 – Windows 10 โดยวันนี้ผมจะมาสอนวิธีการแชร์ไฟล์สำหรับ Windows 10

ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ของเราภายในบ้าน อาจจะมีทัั้งคอมพิวเตอร์ ทั้งของ พ่อ แม่ และของลูก โดย คอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องๆสามารถแชร์ไฟล์ข้ามเครื่องกันได้

สำหรับวันนี้ผมจะมาสอนวิธีการแชร์ไฟล์ Windows 10 จากนั้นใช้ Windows 7 เข้ามาดึงไฟล์ใน Windows 10

สำหรับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในวงแลนเดียวกัน หรือมี Subnet เดียวกัน สามารถทำการแชร์ไฟล์ได้เลย ถ้าอธิบายก็คือ ได้รับ IP Address จาก Router ตัวเดียวกัน เพราะโดยทั่วไปที่บ้านก็จะ Router ตัวเดียวกันอยู่แล้ว โดยอาจจะรับ IP Address ผ่านมาทาง Wireless หรือ สาย LAN เราก็จะได้ Subnet เดียวกัน

โดยข้อสังเกตุที่เราจะรู้ได้ยังว่าอยู่วงเดียวกันหรือไม่ก็คือ ให้ไปดูที่ IP Address ของแต่ละคอมพิวเตอร์ Start > Run > พิมพ์ cmd (ถ้าเป็น Windows 10 ก็ให้ทำการคลิกขวาที่ Logo Windows > Command Prompt Administrator)

จากนั้นทำการพิมพ์ ipconfig : ในช่อง IPV4 Address ก็จะเป็น IP ของคอมพิวเตอร์ของแต่ละเครื่อง โดยตัวเลขหลังสุดจะ ไม่เหมือนกัน เช่น 192.168.1.101 , 192.168.1.102 , 192.168.1.103 ก็แปลว่าอยู่ในวงแลนเดียวกันแล้วครับ (แต่ Subnet mark จะต้องเหมือนกัน นั่นคือ 255.255.255.0) โดยปกติคอมพิวเตอร์ห้ามมี IP Address เดียวกัน

ShareFile-Windows10-ipconfig

ตัวอย่าง

คอมพิวเตอร์ Windows 10

IP Address : 192.168.1.102

คอมพิวเตอร์ Windows 7

IP Address : 192.168.1.101

ก่อนการทำแนะนำให้ทำการ Ping จากเครื่องลูก ทำการ Ping ไปปลายทางเครื่องแม่ที่เราจะแชร์ไฟล์

Start > Run > CMD : ทำการพิมพ์ ping ตามด้วย IP Address ของเครื่องที่จะแชร์ไฟล์

เช่น ping 192.168.1.102 โดยถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อกันได้ จะขึ้น Reply form ……

ShareFile-Windows10-ping

แต่ถ้าไม่ได้ แนะนำให้ดู Anitivirus ลองทำการปิดบนเครื่องแม่ (คือเครื่องที่ทำการแชร์ไฟล์เป็นหลัก) จากนั้นลองดูใหม่ หรือจะลงไปทำตามขั้นตอนที่ 4 ด้านล่าง แล้วลองอีกทีครับ

วิธีการแชร์ไฟล์ Windows 10 ละเอียด

1.ให้ทำการสร้าง Username / Password สำหรับ Windows 10 เครื่องที่ต้องการแชร์ไฟล์ : วิธีการสร้าง User Windows 10 แบบ Local

Note : ถ้ามี Username / Password แล้วให้ข้ามไปขั้นตอนต่อไป

2. ทำบน Windows 10 : ให้ไปที่ Control Panel

ทำการเลือก View by : Category > เลือก Choose Homegroup and Sharing option

ShareFile-Windows10-ControlPanel

 

3. ทำการเลือก Change advance sharing settings

ShareFile-Windows10-Shareadvance

4. ในส่วนนี้จะมีหลาย Profile ให้เราเลือกที่ มี (Current Profile)

จากนั้นทำการปรับให้เป็นเหมือนรูป

When network discovery in on : Turn On

File and Printer Sharing : Tune On

HomeGroup : Allow Windows to Manage

ShareFile-Windows10-network

5. จากนั้นไปที่ Folder ที่เราต้องการจะแชร์ใน Windows 10

ทำการคลิกขวาชื่อ Folder ที่เราต้องการแชร์ > Share with > Specific people

ShareFile-Windows10-Share

6. ทำการเพิ่มชื่อ User ที่เราได้ทำการสร้างไว้ในข้อที่ (1) หรือ User ที่เราต้องเอาไว้กรอกสำหรับที่จะให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆเข้ามาใช้งาน

โดยทำการเพิ่ม User และกด Add จากนั้นทำการปรับให้เป็น Read / Write > และทำการคลิก Share

ShareFile-Windows10-add

7. จากนั้นเราก็จะได้ Folder ที่เราต้องการแชร์ไฟล์ใน Windows 10 เป็นที่เรียบร้อย

เราก็จะเห็นเป็น \\ชื่อเครื่องWindows10ของเรา\Folderที่เราแชร์ ก็ให้เราจำ Path เอาไว้ด้วยนะครับ !!!!

ShareFile-Windows10-folder

8. ทำบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าไปใน Windows 10

ให้ไปที่ Windows Explorer > จากนั้นทำการพิมพ์ \\ชื่อเครื่องWindows10\Folderที่แชร์ของWindows10 (Path เดียวกับข้อที่ 7) และทำการ Enter

ShareFile-Windows10-Drive

จากนั้นรอสักครู่ และจะมี Pop up ให้ทำการกรอก Username / Password ของ Windows 10 > ก็ให้เราทำการกรอก Username / Password ของ Windows 10 ที่เราเพิ่มสิทธิ์เข้าไปในข้อที่ 6

โดยให้เรากรอกอยู่ในรูปแบบ : ชื่อคอมพิวเตอร์Windows10\Username

9. จากนั้นเราก็จะเห็น Folder ต่างๆบน Windows 10 เป็นที่เรียบร้อย

ShareFile-Windows10-FolderShare

เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการแชร์ไฟล์ Windows 10 ที่สามารถทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆสามารถเข้ามาทำการ สร้างไฟล์ ลบไฟล์ ต่างๆตามสิทธิ์ที่เราได้ทำการปรับเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย โดยเราสามารถนำไปประยุกต์ในการแชร์ไฟล์ต่างๆใน Windows

แชร์ไฟล์ Windows 7 กับ Windows XP

แชร์ไฟล์ Windows 8.1 / Windows 10

จับภาพหน้าจอ Windows 10

$
0
0

สำหรับคนที่กำลังหาโปรแกรม จับหน้าจอ Windows 10 หรือทำการ Capture Screen หน้าจอของ Windows 10 โดยวันนี้ผมจะมาทำการแนะนำโปรแกรมที่ติดมากับ Windows 10 โดยมีชื่อว่า Snipping Tools และอีกวิธีคือการใช้ Function ของ Windows ในการ Capture Screen หน้าจอของ Windows โดยสามารถทำได้ทั้งใน Windows 7 , Windows 8.1 และ Windows 10

จับภาพหน้าจอ Windows 10

การใช้ Snipping Tools

1. ทำการ Search ตรงช่องค้นหา โดยหาคำว่า Snipping

2. เราก็จะพบกับโปรแกรม Snipping Tools ในการ Capture ภาพต่างๆที่เราต้องการ

Capture-Screen-Windows10

การใช้ปุ่ม Print Screen

1. ให้ไปที่หน้าที่เราต้องการจับหน้าจอ

2. ทำการกดปุ่ม Windows + Print Screen พร้อมกัน เราก็จะได้รูปภาพบนหน้าจอที่เราต้องการจับภาพหน้าจอของ Windows 10

Capture-Screen-Windows10-2 + Capture-Screen-Windows10-3

โดยรูปภาพของเราจะเก็บไว้ใน Folder Picture อัตโนมัติทันที อยู่ใน Picture > Screenshots

Capture-Screen-Windows10-1

เท่านี้ก็เป็นการจับภาพหน้าจอของ Windows 10 เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นเราก็สามารถเอาภาพต่างๆที่เราทำการ Capture Screen นำไปใช้งาน ในงานต่างๆต่อได้อย่างสบาย


แก้ไขปัญหา Task Manager เปิดใช้งานไม่ได้(ขึ้นสีเทา)

$
0
0

หลายคนที่ใช้คอมพิวเตอร์อยู่ดีๆ แล้วพอเราจะกดใช้งานTask Manager ปรากฎว่าTask Manager มันขึ้นสีเทาทำให้ใช้งานTask Managerไม่ได้ ขอแสดงความเสียใจด้วยน่ะครับตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่าคอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัสเข้าเสียแล้วครับ แต่วันนี้ผมมีทางแห่งแสงสว่างช่วยให้คุณสามารถแก้ไขได้ครับ

วิธีการแก้ไข Task Manager ขึ้นสีเทาสำหรับ Windows XP

1. ให้ไปที่ Start > Run > พิมพ์ว่า ” gpedit.msc

Task_Manager_2

2. จากนั้นให้เลือก User Configuration > Administrative Templates > System > Ctrl +Alt + Del Options จากนั้นให้ดูด้านขวาจะเห็น Remove Task Manager ให้เราทำการ double click แล้วให้เลือกเป็น Disabled จากนั้น จากนั้นกด Apply และให้ทำการ Restart computer 1ครั้ง

Task_Manager_3

แต่ถ้าเราพยายามจะทำตามขั้นตอนที่ 1 แต่กลับไม่สามารถเข้า gpedit.msc ได้ ก็ให้ทำการทำดังนี้

ให้ไปที่ Start > Run > จากนั้น Copy นี้ข้อความนี้ไป Page ในช่อง Run

REG add HKCUSoftwareMicrosoftWindowsCurrentVersionPoliciesSystem /v DisableRegistryTools /t REG_DWORD /d 0 /f แล้วกด Enter

จากนั้นทำการ Restart computer 1ครั้ง ครับ

การตั้งค่าไมโครโฟน Windows

$
0
0

การตั้งค่า Microphone สำหรับ Windows โดยในการตั้งไมโครโฟนสำหรับ Windows นั้นบางคนอาจจะยังตั้งไม่ถูกต้อง หรือ ทำการตั้งยังไม่เป็น โดยวันนี้ผมจะมาสอนวิธีการตั้งค่า Microphone สำหรับ Windows 7 , Windows 8.1 และ Windows 10 เพราะในการตั้งค่าของแต่ละ Windows จะเหมือนกันทุกอย่าง โดยสำหรับคนที่จะทำการตั้งค่าไมโครโฟนเพื่อทำการอัดเสียงบันทึกในการร้องเพลง หรือ จะทำ Clip Youtube หรือทำการ Presentation ส่งอาจารย์ ก็ให้ทำตามบทความนี้ได้เลย

วิธีการตั้งค่าไมโครโฟน Windows

ทำการเสียบไมค์เข้ากับคอมพิวเตอร์ของเรา

1. แต่ละ Windows จะมี Control Panel โดยให้ไปที่ Control Panel

Windows 7 : ไปที่ Start > Control Panel

Windows 8.1 / Windows 10 : ทำการ Search คำว่า Control Panel เลยก็ได้

2. โดยทำการตั้งค่า View by : Large / Small icons

ทำการคลิกเมนู Sound > จากนั้นไปที่ Recording : จะเห็น Microphone ของเรา ให้เราทำการคลิกเลือก และถ้าเราทำการพูดลงไมคโครโฟน แถบด้านขวา จะมีสีเขียวๆขึ้น

จากนั้นทำการกด Properties

Microphone-Windows

3. ไปที่ Tab : Levels

Microphone : ให้ทำการเลือกเป็น ประมาณ 80-100 ตามความเหมาะสม ค่านี้จะเป็นค่าความดังของไมโครโฟน

Microphone Boost : แนะนำให้ทำการปรับสัก 10 -20 dB เพราะถ้าเราทำการปรับเยอะ จะเป็นการดูดเสียงของสิ่งที่ใกล้ๆตัวเราเข้าไปมากยิ่งขึ้น อาทิเช่นเสียงนกข้างนอกบ้าน หรือ เสียงก๊อกแก๊กต่างๆ และตัวแปรที่สำคัญก็คือราคาของไมโครโฟนด้วย

Microphone-Windows-dB

เมื่อทำการปรับเสร็จเรียบร้อยก็ให้เราทำการลองทดสอบอัดเสียงดูครับ จากนั้นลองดูความเหมาะสมของการปรับค่าของไมโครโฟนของเรา

Windows 10 ไม่มีเสียง แก้ไขอย่างไร วันนี้มีคำตอบ

$
0
0

หลายคนทำการลง Windows 10 หรือทำการ Upgrade Windows 10 มาจาก Windows 8.1 / Windows 7  จากนั้นทำการใช้งานพบว่า คอมพิวเตอร์ Windows 10 ของเราไม่มีเสียงในการฟังเพลงต่างๆหรือจะดูหนังก็ไม่มีเสียงออกมาจากคอมพิวเตอร์ Windows 10 โดยวันนี้ผมมาเขียนบทความในการทดสอบและการแก้ไขให้ Windows 10 กลับคืนมามีเสียงอีกครั้ง โดยมีขั้นตอนในการตรวจสอบต่างๆในการทดสอบเสียงของ Windows

ก่อนการทดสอบคุณต้องมั่นใจนะว่า Windows ของคุณ 

1. ลำโพงของคุณทำการเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ถูกต้อง (สำหรับ PC ให้ทำการเสียบเข้า jack สีเขียว หรือรูปลำโพงนะ อย่าเสียบช่องผิด)

2. สำหรับใครใช้หูฟังทำการเสียบใน PC / Notebook ก็เสียบให้ถูกช่องที่คอมพิวเตอร์ละ มันจะเป็นรูป HeadPhone

3. มั่นใจนะว่าลำโพง / หูฟังไม่เสีย และทำการเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ด้วย

โดยบทความในการแก้ไข Windows ไม่มีเสียง สามารถนำไปใช้ได้ทั้งใน Windows 7 , Windows 8.1 และ Windows 10

 

วิธีการแก้ไข Windows 10 ไม่มีเสียง

ในการแก้ไขผมขอเขียนเป็นทีละหัวข้อในการตรวจสอบ โดยถ้าจะทำตามแนะนำว่าให้ทำเหมือนผม เพราะผมจะทำจากบนลง – ล่าง แนะนำให้อ่านวิธีการแก้ไขก่อนหนึ่งครั้ง จากนั้นค่อยทำตามที่ผมบอกนะ

ก่อนการทดสอบ เสียงลำโพง หรือ หูฟังเข้ากับคอมพิวเตอร์ก่อนด้วย

สิ่งสำคัญหลังจากลง Windows 10 นั่นก็คือการลง Drivers ต่างๆ อาทิเช่น Drivers Wireless , Drivers LAN และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนวิธีการลง Drives เสียง ให้ทำตามดังนี้

แนะนำการลง Drivers ของ Windowsโดยให้ทำการลง Drivers เสียงก่อน ตามแต่ละยี่ห้อคอมพิวเตอร์ หรือ เมนบอร์ด : แนะนำการลง Drive Windows

1. การตรวจสอบ Device Manager  : Sound

1.1 คลิกขวาที่ Logo Windows > ทำการเลือก Device Manager

Fix-Sound-Windows 10 step1

1.2 คลิก Device Manager > ทำการดูหัวข้อ Sound Video  : ทำการคลิกด้านหน้า

1.3 จะเห็น High Definition Audio Device ให้ทำการคลิกขวา และเลือก Properties > จากนั้นดูในช่องของ General Device Status จะต้องขึ้น This Device is working properly.

Fix-Sound-Windows 10 step2

1.4  จากนั้นคลิกขวา High Definition Audio Device และทำการเลือก Update Driver Software

Fix-Sound-Windows 10 step12

1.5  เลือก Search Automatically for update drives software

ขั้นตอนนี้คอมพิวเตอร์ของเราต้องสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทได้นะ

Fix-Sound-Windows 10 step13

1.6 เมื่อเสร็จแล้วจะขึ้นแบบนี้ The best Driver software for your devices

Fix-Sound-Windows 10 step14

2. การตรวจสอบ Sound Properties Windows

2.1 ไปที่ Control Panel

Fix-Sound-Windows 10 step3

2.2 View by : Small icon มุมขวาบน > จากนั้นเลือก Sound > Tab : Playback > เลือก จากนั้นคลิกที่ Speaker > เลือก Properties

Fix-Sound-Windows 10 step4

2.3 Tab : Advance ลองกด Test ดูว่ามีเสียงหรือไม่

ถ้าไม่มั่นใจว่าจะเลือกอันไหนให้คลิก Restore Defaults (มุมซ้ายล่าง)  จากนั้นทำการทดสอบอีกครั้ง และกด OK

Fix-Sound-Windows 10 step5

3. การตั้งค่า Playback Windows

3.1 คลิกที่ Search จากนั้นทำการพิมพ์ “Sound”

Fix-Sound-Windows 10 step15

3.2  ในช่องของ Playback

ตรงนี้แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนมีแค่ 1 อัน บางคนมหลายอัน

ตรงนี้สำคัญ : ถ้าเราต่อด้วยลำโพง ก็ให้คลิกขวาที่ ลำโพงจากนั้นเลือก Set as Default Drive

แต่ถ้าเราเลือกหูฟัง เราก็เลือกหูฟัง จากนั้นเลือก Set as Default Drive

จากนั้นก็กด OK เพื่อทำการ Save  และทำการทดสอบการเปิดเพลง

Fix-Sound-Windows 10 step11

4. การแก้ไข Troubleshooting Sound Windows

4.1 ไปที่ Search Windows > จากนั้นทำการพิมพ์ Troubleshooting

Fix-Sound-Windows 10 step6

4.2 เลือก Troubleshooting audio Playback

Fix-Sound-Windows 10 step7

4.3

Fix-Sound-Windows 10 step8

4.4

Fix-Sound-Windows 10 step9

4.5 จากนั้นระบบคอมพิวเตอร์ของเราก็จะทำการ Fix Sound ของ Windows ให้เรา

Fix-Sound-Windows 10 step16

บทความนี้เป็นการแก้ไข Windows ไม่มีเสียง โดยสามารถนำไปทำการแก้ไขได้ทุก Windows  ทั้ง การแก้ไข Windows 7 ไม่มีเสียง , Windows 8.1 ไม่มีเสียง และการแก้ไข Windows 10 ไม่มีเสียง เพราะบางคนสงสัยว่าทำไมคอมพิวเตอร์ของเราไม่มีเสียงได้อย่างไร ในเมื่อคอมพิวเตอร์เราก็ลง Windows 10 ปกติ โดยผู้เขียนได้เขียนรวบรวมการแก้ไขเสียงใน Windows มาให้ทุกคนได้ทำการตรวจสอบและทำการแก้ไข เพื่อให้สามารถทำการฟังเพลง หรือดูหนัง ได้ใน Windows

การจด Domain กับ GoDaddy

$
0
0

สำหรับคนที่สนใจในการทำ Website ส่วนมากในการเริ่มต้นนั้นเราก็ควรต้องจด Domain แล้วถามว่าจดที่ไหนดีละ วันนี้ผมจะมาบอกวิธีการจดโดเมนกับ GoDaddy ละกันนะครับ เพราะเป็น WebSite ที่คนทั่วโลกชอบ จด Domain กับที่นี้นะครับและยังมีคูปองเป็นส่วนลดในการจด Domain ด้วยนะครับต้องติดตาม Promotions กับทาง GoDaddy บ่อยๆนะครับ

วิธีการจด Domain กับ GoDaddy

1. เข้า Website www.godaddy.com จากนั้นทำการ Register Account ให้เรียบร้อยนะครับ โดยมุมขวาจะมีการลงทะเบียน

2. จากนั้นใส่ชื่อ Domain ที่เราต้องการจด Domain ลงไปครับ เช่น windowscases.com หรือเราจะเลือก .org , .net ก็แล้วแต่เราครับ จากนั้นก็กด ค้นหาโดเมน

Register Domain Godaddy

3. ถ้า Domain ตัวนั้นมีคนจด Domainแล้ว มันก็จะขึ้นเครื่องหมาย กากบาท ครับ ซึ่งเราก็ต้องหาชื่อ Domain Name ชื่อใหม่นะครับ

4. ถ้าเราเลือก Domain แล้วมีเครื่องหมายถูกขึ้นก็แปลว่าเราสามารถ จด Domain ตัวนั้นได้นะครับ จากนั้นก็กด เลือก

Register Domain Godaddy step2

5. จากนั้นไปที่ตระกร้าของเรา

Register Domain Godaddy step3

6. เลือกตามความสะดวก ถ้าไม่เลือกก็ให้เลื่อนลงมาล่างสุด

Register Domain Godaddy step4

ถ้าต้องการเช่า Host ด้วยก็เลือก Plan ด้วย

Register Domain Godaddy step5

7. ทำการเลือก จำนวนปีในการซื้อ domain แนะนำให้เลือก 1 ปี และทำการต่อเอาเรื่อยๆก่อนหมดอายุ

Register Domain Godaddy step6

8. กด Enter Promo or Source Code นะครับ ในส่วนนี้จะเป็น คูปอง ส่วนลดของ GoDaddy ใครมีก็ใส่ลงไปเลยนะครับ จะได้ส่วนลดด้วยครับ หุหุ

Register Domain Godaddy step7

 

9. มุมขวาจะเป็นการสรุปยอดเงินทั้งหมดที่เราต้องจ่ายในครั้งนี้

Register Domain Godaddy step8

10. สำหรับใครที่ยังไม่ได้กรอกวิธีการจ่ายเงินก็ให้กรอกลงไป ปกติผมหักจากบัตรเครดิต จากนั้นกด (/) I have read and agree

และถ้ากด PLACE ORDER NOW จะเป็นการหักเงินแล้วนะครับ และเราก็จะเห็นใบเสร็จในหน้าต่อไปและมีส่งเข้า Email ของเราด้วย

Register Domain Godaddy step9

 

เท่านี้ก็เสร็จสิ้นกับการจด Domain กับ GoDaddy แล้วครับ ง่ายไหมครับ ส่วนเรื่องการ Support ทาง GoDaddy จะทำการ Support ที่ไวมากครับ และมีมาตราฐานในการ Support มากๆ

ป้องกันไม่ให้คนอื่นมาแก้ไขไฟล์ Word

$
0
0

วันนี้ผมจะบอกวิธีการปกป้องไม่ให้คนอื่นมาแก้ไข File เอกสาร Word ของเรา โดยทำการใส่ password เพื่อทำการป้องกัน(Protect) เอาไว้ เผื่อในกรณีเรามีไฟล์เอกสารสำคัญในการนำเสนอ หรือไม่ต้องการให้ใครมาทำการแก้ไขไฟล์เอกสาร Word โดยถ้าคนที่ไม่มีรหัสผ่านในการแก้ไขไฟล์ ก็จะไม่สามารถทำการแก้ไขไฟล์ Word ของเรา

โดยในการป้องกันการแก้ไข Microsoft Word สามารถทำได้ทั้งใน Microsoft Word 2007 , Microsoft Word 2010 , Microsoft Word 2013 และ Microsoft Word 2007

วิธีป้องกันไม่ให้คนอื่นมาแก้ไขเอกสาร Microsoft Word

1. ให้เราทำการเปิด Microsoft Word ขึ้นมา จากนั้นทำการสร้างไฟล์เอกสารตามใจชอบ อาจจะเป็นรายงานการประชุมหรือ Report ต่างๆ

และจากนั้นให้มาเมนู Review > เลือก Restrict Editing

Restrict-Mcirosoft-Word

2. เมื่อคลิก Protect document แล้วให้ทำการเลือก Restrict Formatting and Editing

3. จากนั้นให้ติ๊ก (√) ทั้งข้อที่1 และ ข้อ2 ส่วนข้อที่2 ให้เลือกเป็น No changes (read only)

Restrict-Mcirosoft-Word step2

จากนั้นให้เรากดปุ่ม Yes,Start Enforcing Protection เพื่อทำการใส่ password ของเอกสาร และก็ Save ไฟล์เอกสารตามปกติ และปิดไฟล์เอกสารไฟล์นี้ลงไป

Restrict-Mcirosoft-Word Password

4. จากนั้นลองเปิดไฟล์เอกสารขึ้นมาใหม่ สังเกตุได้ว่าเราไม่สามารถทำการแก้ไขอะไรได้เลยในไฟล์นี้

Restrict-Mcirosoft-Word stop Protection

แต่ถ้าเราจะแก้ ก็ให้เรากด Stop Protection จากนั้นก็ใส่ Password ที่ได้ทำการตั้งไว้ในตอนแรก แต่ถ้าคนไม่รู้ password ตัวนี้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยครับ

Restrict-Mcirosoft-Word password unprotect
ส่วนมากจะนิยมเอาไปใช้กับเอกสารสำคัญที่ไม่อยากให้คนอื่นแก้ไขครับ โดยเป็นการห้ามไม่ทำการแก้ไขไฟล์ Microsoft Word ยังไงลองทำตามดูเอาละกันนะครับ ติดปัญหาตรงไหนก็ Post บอกไว้เลยครับ

ป้องกันไม่ให้อีเมล์เข้า Junk-Email ของผู้รับใน Outlook

$
0
0

หลายคนในที่นี้คง Outlookกันเป็นประจำในชีวิตการทำงาน เพื่อรับ-ส่ง E-mail ในการติดต่อสื่อสารกับคนภายในองค์กรหรือลูกค้าของเรา แต่สมมุติว่าลูกค้าส่งเมล์มาให้เราหรือเราส่งเมล์ไปให้ลูกค้า แล้วเกิดว่าเมล์นั้นชอบเข้าไปอยู่ใน Junk mail ของเมล์เค้า และถ้าเกิดเป็นเมล์สำคัญด้วยนี้ละซิ ทำไงดีเนอะ จะไม่ให้เราพลาดการติดต่อกับลูกค้า

วิธีการ Safe Sender , Safe Recipients ของเมล์ผู้ส่งและผู้รับ Microsoft Outlook

1. เปิด Outlook ขึ้นมาจากนั้นให้ไปที่ Menu Home

2. จากนั้นให้เลือก Junk > เลือก Junk E-mail Options

Junk-Email Options Outlook

3. จากนั้นเราจะเห็นอยู่ 2 Tab

1. Safe Senders  และ 2.Safe Recipients

Junk-Email Options Outlook safe Senders

Safe Senders : ป้องกันไม่ให้อีเมล์จากผู้ส่งคนนั้นหรือ Domain นั้นไม่ให้เข้า Junk-Email ของเรา

Safe Recipients :  ให้ Safe อีเมล์ปลายทางที่เราจะส่งไปเพื่อไม่ให้ไปเข้า Junk-Mail ของฝั่งผู้รับ

วิธีการ Add ก็คือ กด Add จากนั้นใส่ ชื่อเมล์ลูกค้าหรือใส่ Domain ลูกค้าลงไปเลยครับ

เช่น patompon@windowssiam.com << เจาะจงรายบุคคล หรือจะใส่ไปทั้ง domain เลยก็ได้ครับ เช่น @windowssiam.com

ส่วนแถบ Blocked Senders เราก็สามารถ Block ให้ลง Junk mail ได้เหมือนกัน คือมีอีเมล์มาจาก @domain.com หรือ xxxx@domain.com ระบบจะส่งเข้าใน Junk E-mail ทันที

Junk-Email Options Outlook Block Senders

เท่านี้ก็เป็นการปรับใส่ส่วนของการ Safe sender ,Safe Recipients ของ Microsoft Outlook ฝั่ง Client เรียบร้อย  (สำหรับในองค์กรถ้าทำแล้วยังเป็นอยู่แนะนำให้ติดต่อ IT ทาง IT จะได้ทำการตั้งค่าที่ Mail Server)

การตั้งค่า Font ของ Microsoft Outlook

$
0
0

ผมคิดว่าผู้อ่านก็คงใช้ Microsoft Outlook อยู่ทุกๆวัน ทั้งที่ Office และที่บ้าน คุณเคยไหมละจะพิมพ์ E-mail สักฉบับเวลาเราพิมพ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คุณเคยสังเกตุไหมว่า Font มันจะไม่เหมือนกัน ในบทความนี้ผมจะสอนให้คุณผู้อ่านไปเซ็ตค่าของ Microsoft outlook ให้มันมี Font ที่เหมือนกันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และขนาดของ Font ด้วย

วิธีการตั้งค่า font Outlook ให้เป็นมาตราฐาน

1.  คลิก File

set-font-Microsoft Outlook

2. ไปที่ Options

set-font-Microsoft Outlook Options

2. ขั้นตอนนี้ให้เลือก Tab Mail จากนั้น ให้คลิกที่ Stationery and Fonts

set-font-Microsoft Outlook set fonts

3. ในขั้นตอนนี้จะเป็นการ Setup Font โดยในหน้านี้จะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ

– New Mail message เป็นการสร้างเมล์ฉบับใหม่

– Replying or fowarding message เป็นการตอบเมล์กลับ หรือ การส่งต่อเมล์ไปยังผู้อื่น

set-font-Microsoft Outlook Font

ในที่นี้เราจะทำการ Setup Front ของ New mail message ส่วน Replying or fowarding message ผู้อ่านก็ทำตามเหมือนกับ New mail message นะครับ

4.

– ส่วน Complex scripts เป็นส่วน Front ของภาษาไทยนะครับ

– ส่วน Latin text เป็นส่วนของ Front ของภาษาอังกฤษนะครับ

set-font-Microsoft Outlook Font step

และในส่วน Font Style และ ขนาด Size ผู้อ่านก็ปรับตามใจชอบเลย เมื่อทำการ Setup เสร็จแล้วให้ทำการกด OK เพื่อเป็นการ Save ค่าต่างที่เราทำได้การตั้งค่าไว้

ทีนี้เราก็จะไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดกับการเปลี่ยน Font ไปมาของภาษาไทย ภาษาอังกฤษอีกแล้วนะครับ และที่สำคัญจะได้ไม่ต้องเหนื่อยตาม IT มาให้ตั้งค่าอีกด้วย


คัดลอกเนื้อหาบน WebSite มาลง Word เฉพาะตัวอักษรเท่านั้น

$
0
0

หลายคนในที่นี้คงเจอกับปัญหาเวลาเราที่ต้องทำรายงานแล้ว เราไปค้นหาข้อมูลใน Internet จากนั้นเมื่อเราเจอบทความที่ตรงใจเราแล้ว เราจะ copy เนื้อหาเหล่านั้นลง Microsoft Word ของเรา แต่เวลาเรา Copy ข้อมูลจากหน้าเวปไซค์ แล้วมา page ลงใน Word มันจะมีพวกตาราง หรือสิ่งอื่นๆที่เราไม่ต้องการมาด้วย แต่เราต้องการแค่ตัวอักษรอย่างเดียว แล้วเราจะทำไงดีละครับ

การ Copy ข้อความต่างๆลง Microsoft Word

1. เปิดบทความที่ต้องการใน website จากนั้นก็ Copy ตาม Area ที่เราต้องการ จากนั้นนำไป Paste ลงใน Notepad เราก็จะได้แค่ตัวอักษร (TEXT) ที่เราต้องการแล้วครับ และ ต่อจากนั้นค่อย Copy ข้อความจาก Notepad ไปยัง Microsoft word และค่อยปรับแต่งตัวเอกสารให้สวยงามอีกทีครับ มันจะทำการปรับได้ง่ายกว่ามากๆ และไม่มีพวกตารางอะไรมากวนใน Microsoft Word

Copy text WebSite

Copy text WebSite notepad

Notepad : เป็น Tools ของ Windows ที่ติดมากับ Windows ลอง Search Program ดูครับ ในคอมพิวเตอร์ของคุณจะมี

ล๊อคไม่ให้แก้ไขข้อมูล Sheet ไฟล์ Excel

$
0
0

ในการป้องการไม่ให้ทำการแก้ Sheet และการเพิ่ม Sheet ในไฟล์ Excel  โดยเราสามารถทำการ lock Sheet ได้เพื่อไม่ให้ทำการแก้ไข โดยคนส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นการล๊อค sheet ไม่ให้ทำการแก้ไขไฟล์ โดยไฟล์เหล่านั้นอาจจะเป็นไฟล์พวก Report ทางการเงิน หรือ เอกสาร Report ที่ส่งตรงให้ผู้บริการที่มาจากฝ่ายบัญชี โดยปกติเอกสารพวกนี้จะ Lock ไม่ให้ทำการแก้ไขอยู่แล้ว แล้วถามว่าการ lock sheet ให้อ่านได้อย่างเดียวนั้นทำอย่างไร วันนี้ผมจะมาสอนวิธีการ Lock sheet ให้สามารถทำการอ่านได้อย่างเดียว และสอนไม่ให้ทำการเพิ่ม sheet ใน Microsoft Excel

วิธีการ Lock Sheet ไฟล์ Excel ไม่ให้แก้ไข

1. ทำการเปิดไฟล์ Microsoft Excel

2. คลิกขวาที่ Sheet ที่ต้องการจะ Lock ไม่ให้ทำการแก้ไข > เลือก Protect sheet

Protect-Sheet-File-Excel

3.  ทำการกรอก Password ในการ Protect Worksheet

แนะนำว่าให้เอา Select lock cells ,  select unlock cells ออกด้วย

Protect-Sheet-File-Excel password lock

4. ทำการกรอก Password อีกครั้งและทำการ Save ไฟล์ Excel

5. จากนั้นทำการปิด และทำการเปิดใหม่ ลองทำการแก้ไขดู ของ sheet นั้นๆ จะไม่สามารถทำการแก้ไขไฟล์นั้นได้

Protect-Sheet-File-Excel password

 การทำ UnProtect Sheet ไฟล์ Excel

1. คลิกขวาที่ไฟล์ sheet ที่เราต้องการจะปลดล๊อค จากนั้นเลือก Unprotect sheet

Protect-Sheet-File-Excel step2

2. ทำการกรอก Password จากนั้นคุณก็สามารถทำการแก้ไขไฟล์ Sheet นั้นๆได้เรียบร้อย

การ lock ไม่ได้เพิ่ม Sheet ในไฟล์ Excel

1. เปิดไฟล์ Excel > เลือก View > เลือก Protect Workbook

Protect-Sheet-File-Excel Lock file

2.  ทำการกรอก Password ที่เราจะทำการ Lock File

Protect-Sheet-File-Excel lock

3. ภาพตรงที่เพิ่ม Sheet

ก่อนการ Protect workbook จะสามารถกดเพิ่ม Sheet ได้

Protect-Sheet-File-Excel step3

หลังการ Protect workbook จะไม่สามารถกดเพิ่ม Sheet ได้

Protect-Sheet-File-Excel step4

4. เสร็จสิ้นการ Lock sheet ในการไม่ให้เพิ่ม sheet  โดยเราสามารถถอดให้สามารถ Unlock Protect Sheet ได้ด้วยการไปที่ View > คลิก Protect Worksheet จากนั้นเราก็ใส่รหัสผ่านการ Lock Worksheet

เท่านี้ก็เสร็จสิ้นการทำล๊อคไฟล์ Excel ไม่ให้ทำการแก้ไข Sheet หรือการที่เราไม่ให้ใครก็ตามทำการเพิ่ม Sheet ในไฟล์ Excel

การใส่ลายน้ำ Microsoft Word 2013 , 2010

$
0
0

เอกสารคัญส่วนมากที่เป็น Version Draft ของไฟล์เอกสาร Word ส่วนใหญ่จะทำการ Add Watermark หรือลายน้ำลงไป สำหรับพนักงานหรือนักศึกษาที่ต้องทำรายงานส่งอาจารย์หรือลูกค้า โดยจะต้องทำเอกสารใน Microsoft Word 2013 และถ้าเราจะต้องทำการใส่ลายน้ำหรือ Watermark บนเอกสารนั้นทำอย่างไร วันนี้ผมจะมาสอนการใส่ลายน้ำให้กับ Microsoft Word 2013  โดยสามารถนำไปใช้ได้ใน Microsoft Office 2016 , 2010 

การใส่ลายน้ำใน Microsoft Word 2013 , 2010

1. ทำการเปิดเอกสาร Micorosft Word ที่เราต้องการใส่ลายน้ำขึ้นมา

2. ทำการคลิกไปที่ Tab : Design > จากนั้นจะเห็นเมนู Watermark

จากนั้นให้เราทำการเลือก template ที่เราต้องการ แต่ถ้าต้องทำการกำหนดเองก็ให้ทำการเลือก Custom Watermark

Watermark Microsoft Word

3. ทำการเลือก (/) Text Watermark

Language : ทำการเลือกภาษาที่จะใส่

Text : ข้อความที่จะทำการใส่เป็นลายน้ำ

Font : แบบอักษรของ Font

Size : ขนาด

Color : สีของตัวอักษร

Layout :

Diagonal : แบบเฉียง

Horizontal : แบบตรงแนวนอน

Watermark Microsoft Word Custom

เมื่อทำการเลือกเสร็จแล้วก็ให้ทำการเลือก คลิก Apply > OK จากนั้นก็เสร็จเรียบร้อย

Watermark Microsoft Word display

และจะสังเกตุหน้าต่างๆในเอกสารได้ว่าจะมีลายน้ำขึ้นบนเอกสารของเราใน Microsoft Word 2013 โดยถ้าเราทำการปริ๊นเอกสารพวกที่มีการทำลายน้ำเอาไว้ ตอนปริ๊นเอกสารก็จะมีลายน้ำออกมาด้วยใน Microsoft Word

แก้ไข Cannot start Microsoft office outlook Cannot open the outlook window

$
0
0

สำหรับใครที่ใช้ Microsoft Outlook 2007 และกำลังเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดนั้นก็คือ การเปิด Outlook ไม่ขึ้น โดยจะขึ้นข้อความว่า Cannot start Microsoft office outlook. Cannot open the outlook window.

outlookwindow

วิธีการแก้ไข Cannot start Microsoft Outlook เปิดไม่ได้

ถ้าคุณกำลังเจอปัญหานี้ แน่นอนครับ ผมช่วยให้คุณแก้ไขปัญหา Cannot start Microsoft office outlook. Cannot open the outlook window. ได้อย่างง่ายๆเลยครับ

เพียงแค่ไปที่ เมนู Start

Start > Run (หรือกด Windows + R พร้อมกันบน Keyboard)> จากนั้นพิมพ์คำว่า outlook.exe /resetnavpane จากนั้นกด Enter แล้วเปิด Outlook ใหม่แค่นี้ คุณก็จะไม่ได้เห็น Error Cannot start Microsoft office outlook. Cannot open the outlook window แล้วครับ

และเมื่อทำการ Fix เสร็จเรียบร้อย ก็ให้ลองทำการเปิด Microsoft Outlook 2007 อีกครั้ง

*ใช้ได้เฉพาะ Microsoft Outlook 2007

Backup , Restore file บน Windows 10

$
0
0

วันนี้ผมจะมาสอนวิธีการแบคอัพข้อมูลต่างๆของ Windows 10 ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นอยู่ใน Drive C ซึ่งหลายคนๆที่ใช้ Windows 10 ก็จะใช้ไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดว่าจะต้องกู้ไฟล์อะไรกลับมา แต่อยู่มาวันใดวันหนึ่งคุณต้องการไฟล์ที่คุณลบไปแล้วในคอมพิวเตอร์ของเราไปในอดีต แล้วเราจะทำอย่างไรละครับ วันนี้ผมมีคำตอบกับคนที่ใช้ Windows 10 โดยเมนูมีชื่อว่า File History ซึ่งมีมากับ Windows 10 ถามว่าFile History มันทำไรได้บ้าง

การทำ File History Windows 10 แนะนำสำหรับคนที่มี Harddisk หลายๆลูกในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว เช่น 2 ลูกขึ้นไป เช่น DISK 0 , DISK 1 , DISK 2  แบบนี้ว่ามี 3 ลูก  เพราะในขั้นตอนจะมีการสร้าง Folders ให้เก็บไฟล์ backup เพราะผมจะให้สร้างคนละ DISK กับ DISK ของ OS เพราะว่า ถ้า DISK OS Windows ของเสีย เราก็จะมีอีก DISK เก็บไฟล์ backup เอาไว้

Backup-Restore File History Windows 10 DISK

File History ทำอะไรได้บ้างใน Windows 10

1. ทำการ Backup file (สำรองข้อมูล)ของเราต่างๆที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ของเรา ตามวันที่เราได้กำหนด

2. สามารถ Restore (กู้คืนข้อมูล) ข้อมูลของเราได้ ที่เราลบไฟล์ไปก่อนหน้านี้ โดยไฟล์ที่เราสามารถกู้ได้นั้นก็คือวันที่เราทำการ backup ไว้ในข้อที่1 นั้นเอง

โดยในการ Backup ทำการ Backup อะไรบ้าง ซึ่งหมดอยู่ใน Drive C ของเรา

Backup-Restore File History Windows 10 step14

Folder : Contacts , Desktop , Documents , Downloads , Favorites , OneDrive , Picture , Save Game , Search , Video , Camera Roll , Documents , Picture , saved picture 

สอนวิธีการ Backup – Restore ข้อมูลต่างๆใน Windows 10

1. คลิกขวาที่ Start > เลือก Control Panel

Backup-Restore File History Windows 10 ComtrolPanel

2. เข้า Control Panel : เลือก View by : small icons > จากนั้นไปที่ File History

Backup-Restore File History Windows 10

3. ในการที่เราจะทำการ Backup ข้อมูลนั้น เราต้องทำการสร้างที่เก็บของไฟล์ที่เราจะสำรองข้อมูลไว้ก่อนนะครับ โดยให้ทำการ กดที่ Select drive

Backup-Restore File History Windows 10 step2

วิธีการสร้าง Folders

แนะนำให้ไปทำการสร้าง Folders : BACKUPFILE ที่แตกต่างจาก DISK ของ OS Windows ของเรา “โดยทำการสร้าง Folders > คลิกขวา Folders > เลือก Sharing > คลิก Share จากนั้นใส่ สิทธิ์ของ Users ของเราลงไป ให้สิทธิ์เป็น Owner และทำการกด Share ” จากนั้นให้ทำการจำ Path ที่เรา Share ไปด้วย

4. จากนั้นให้เราเลือกที่เก็บของไฟล์ที่เราจะเก็บข้อมูลครับ

โดย Folders ที่สร้างอย่างที่ผมแนะนำว่า ให้ทำการสร้าง Folders บน DISK คนละลูกกับ DISK เพราะว่าถ้า DISK OS เสีย เราก็จะมีข้อมูล Backup อยู่อีกหนึ่งลูก นั่นเอง 

โดยให้กดที่ Add network location

Backup-Restore File History Windows 10 step4

ทำการใส่ Folders ของเราลงไป โดยส่วนใหญ่ Network path จะเป็น \\ชื่อคอมพิวเตอร์\Foldersที่เราแชร์

Backup-Restore File History Windows 10 step5

 

5. โดยเมื่อเราเลือกเสร็จก็จะได้ดังรูปนะครับ

Backup-Restore File History Windows 10 step6

6. จากนั้นเราก็จะเห็นว่า File History is off มันคือยังไม่ทำงาน : ให้เรากด Turn On เพื่อเป็นการเปิดการสำรองข้อมูล

Backup-Restore File History Windows 10 step8

7. เมื่อเราเปิดขึ้นมา File History is on ก็จะ show ดังรูปพร้อมสถานะพร้อมทำงาน

การกด Run now เป็นการกดเพื่อทำการ Backup ณ เดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่ได้กดมันก็จะรอช่วงเวลาในการ Backup

Backup-Restore File History Windows 10 step8

8. ในหัวข้อด้านซ้าย จะมีเมนู Exclude Folder ถ้าเรากด Add มันก็แปลว่า folder ไหนที่เราไม่ต้องการ Backup ครับ

Backup-Restore File History Windows 10 step9

9. ในหัวข้อ Advance Settings เราสามารถเข้ามาปรับได้ว่า จะได้ Jobs แบคอัพทุกๆกี่นาที และให้เก็บไฟล์ไว้นานเท่าไร

ผมแนะนำว่าให้ปรับเป็นทุกๆ Every Hour / Forever  คือเป็นการ backup ทุกๆ 1 ชม และเก็บไฟล์ไว้ตลอด

Backup-Restore File History Windows 10 step16

จบวิธีการ Backup File บน Windows 10 โดยระบบ Windows 10 จะทำการแบคอัพให้ตลอดตามเวลาที่ตั้งไว้

วิธีการ Restore ไฟล์บน Windows 10

1. เข้า Control Panel จากนั้นไปที่ File History

Backup-Restore File History Windows 10

2. จากนั้นก็ เมนู Restore personal Files

3. จากนั้นก็ให้เราเลือกวันที่เราทำการ Backup ไว้ เพื่อจะ store ข้อมูลที่หายไป

Backup-Restore File History Windows 10 step11

4. ผมขอยกตัวอย่างนะครับ

ผมลบไฟล์ A ที่อยู่ใน Folders Documents

Backup-Restore File History Windows 10 step10

5. จากนั้นผมก็เข้าไปใน folder document ที่ผมทำการ backup เอาไว้

จากนั้น ผมก็คลิกขวาที่ไฟล์จากนั้นเลือก Restore / Restore to

Backup-Restore File History Windows 10 step11

ทำการเลือกไฟล์ที่เราต้องการ Restore

Backup-Restore File History Windows 10 step12

6. เท่านี้ก็เสร็จสิ้นการ Restore ของ Windows 10

Backup-Restore File History Windows 10 step13
วันนี้ผมได้สอนวิธีการ Backup และ Restore บน Windows 10 ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่เคยทำ แต่ผมอยากให้ทุกๆคนได้ทำ เพราะถ้าวันหนึ่ง เราอยากได้ข้อมูลเก่าๆ เราก็สามารถ restore กลับมาได้ จะได้ไม่เสียใจภายหลังนะครับ แล้ววันนี้คุณ Backup Windows 10 ของคุณแล้วยัง แนะนำให้ทำสำหรับคนที่มี DISK หลายๆลูกในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกัน

Viewing all 741 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>